สศอ. เผยดัชนี MPI ม.ค. หดตัว 0.85% ธปท. ลดดอกเบี้ยหนุนการผลิต 0.1%

28 กุมภาพันธ์ 2568
สศอ. เผยดัชนี MPI ม.ค. หดตัว 0.85% ธปท. ลดดอกเบี้ยหนุนการผลิต 0.1%
สศอ. เผย MPI เดือนแรกปี 68 ส่งสัญญาณดีขึ้น รับอานิสงส์มาตรการภาครัฐ คาด ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หนุนภาคการผลิตกระเตื้องขึ้น 0.1%

นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ระดับ 98.89 หดตัว 0.85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวจากเดือนก่อน 8.70% และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 60.38% โดยได้รับปัจจัยบวกจากรัฐบาลที่มีโครงการเพื่อแบ่งเบาภาระของประชาชน และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือ GDP ได้ประมาณ 0.275% 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการพักหนี้ “คุณสู้ เราช่วย” ที่เข้ามาช่วยประชาชนในการตัดเงินต้น พักดอกเบี้ย 3 ปี และปิดจบหนี้ และ โครงการลดหย่อนภาษีผ่าน Easy E-Receipt 2.0 ทำให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดส่งออกที่ขยายได้ดี สะท้อนจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2568 ที่ขยายตัว 

โดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัว 11.80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ส่งผลลบต่อภาคการผลิต ได้แก่ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหาค่าครองชีพ และสถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังอยู่ในระดับที่สูง กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคส่งผลให้การบริโภคชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้มาตรการกีดกันทางการค้า  ที่สหรัฐนำมาใช้จัดเก็บภาษีจาก 3 ประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก แคนาดา และจีน อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีนที่อาจจะทะลักเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้น

สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนม.ค. 2568 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” โดยปัจจัยภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังใกล้เคียงกับเดือนก่อน ตามปริมาณสินค้านำเข้าที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง รวมถึงความเชื่อมั่นทั้งทางธุรกิจและผู้ผลิตที่มีระดับเพิ่มขึ้นไม่มากจากเดือนก่อน ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ปกติเบื้องต้นตามการขยายตัวของความเชื่อมั่นทางธุรกิจและแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐแต่การผลิตของประเทศยูโรโซนและญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเฝ้าระวังตามผลผลิตที่หดตัว

ขณะที่ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จาก 2.25% เป็น 2.0% คาดว่าจะทำให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตไทยได้รับอานิสงส์จากการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Expansionary Monetary Policy) ในครั้งนี้ โดยเฉพาะในด้านของการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจ ได้แก่ การลงทุนในธุรกิจ ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินลดลง ผู้ประกอบการมีต้นทุนของแหล่งเงินทุนที่ถูกลง ส่งผลให้มีแรงจูงใจในการลงทุนในโครงการต่าง ๆ เช่น 

การขยายกำลังการผลิต การซื้อเครื่องจักรใหม่ หรือการศึกษาวิจัยและพัฒนา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขยายตลาดได้ การขยายตัวของธุรกิจ สามารถขยายกิจการได้เร็วขึ้น เนื่องจากสามารถลงทุนในการพัฒนาใหม่ ๆ ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงเกินไป ซึ่งทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีการขยายตัวเร็วขึ้นในระยะสั้น ความสามารถในการแข่งขัน ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 

ส่งผลทำให้ราคาสินค้าหรือบริการมีราคาถูกลง และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อสิ่งของอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ลดลง เช่น บ้าน และรถยนต์ ส่งผลต่อความต้องการจับจ่ายใช้สอยเงินในการซื้อสินค้าในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น

“สศอ. ได้ประมาณการผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ในครั้งนี้ โดยคาดว่าจะส่งผลทำให้ GDP ภาคการผลิตในปี 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับกรณีที่ ธปท. ไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ สศอ. ได้เดินหน้าปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเพื่อช่วยพลิกฟื้นภาคอุตสาหกรรมไทยให้เป็นเครื่องยนต์สำคัญที่จะเพิ่มแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าให้ภาคอุตสาหกรรมมีส่วนผลักดัน GDP ของประเทศให้เติบโตขึ้นไม่น้อยกว่า1%” นายภาสกร กล่าว

สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนม.ค. 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ 

ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.87% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเบนซิน 95 เป็นหลัก จากการผลิตที่กลับมาเป็นปกติ

พลาสติกและยางสังเคราะห์ขั้นต้น ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 21.05% จากผลิตภัณฑ์ Polyethylene (PE), Ethylene และ Styrene Butadiene Rubber (SBR) เป็นหลัก เนื่องจากความต้องการของตลาดกลับมาเพิ่มสูงขึ้น และผู้ผลิตกลับมาผลิตได้ตามปกติไม่มีการซ่อมบำรุง

คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.60% จากผลิตภัณฑ์ Hard Disk Drive (HDD) เป็นหลัก โดยเป็นไปตามความต้องการซื้อที่เริ่มกลับมาจากอุปสงค์โลก โดยเฉพาะสินค้า Enterprise HDD

สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนมกราคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่

ยานยนต์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.30% จากรถบรรทุกปิคอัพ รถยนต์นั่งขนาดใหญ่ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถยนต์นั่งไฮบริด เป็นหลัก เนื่องจากการหดตัวของตลาดในประเทศ จากกำลังซื้อผู้บริโภคอ่อนแอ หนี้ครัวเรือนสูง และสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ รวมทั้งมีการแข่งขันด้านราคาในตลาดสูงโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน รวมทั้งตลาดส่งออกยังคงหดตัว

น้ำมันปาล์ม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.98% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เนื่องจากปริมาณผลปาล์มที่ลดลงจากปัญหาภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง และอุทกภัยทางภาคใต้ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 

เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำแร่ และน้ำดื่มบรรจุขวดประเภทอื่นๆ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน  10.19% จากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มกาแฟสำเร็จรูป น้ำอัดลม และเครื่องดื่มรสผลไม้ เป็นหลัก เนื่องจากเครื่องดื่มกลุ่มฟังก์ชันนอลกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ผู้ผลิตบางรายจึงปรับลดการผลิตเครื่องดื่มที่มี  ความหวานมาผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น อาทิ น้ำดื่มผสมวิตามิน 


แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.